“นิ่ว” คือปัญหาสุขภาพที่หลายคนคุ้นหู โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงวัย แต่รู้หรือไม่ว่า “นิ่ว” ไม่ได้มีแค่ชนิดเดียว และไม่ได้เกิดในที่เดียวเสมอไป ผู้สูงวัยหลายคนอาจเข้าใจว่าไม่ว่าจะนิ่วในไต หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ก็คือนิ่วเหมือนกันหมด จึงมักละเลยอาการบางอย่าง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ #เซอร์เทนตี้กูรู จะพามาดูกันว่า “นิ่วในไต” กับ “นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ” มีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเพิ่มความเข้าใจในตัวโรค สามารถสังเกตความผิดปกติได้ตั้งแต่แรกเริ่มค่ะ
ทำไมการรู้ความแตกต่างระหว่างนิ่วในไตกับนิ่วในกระเพาะปัสสาวะจึงสำคัญ
หลายคนอาจคิดว่าอาการปวดหลัง ปวดท้อง หรือปัสสาวะติดขัด คือนิ่วเหมือนกันหมด แต่ในความเป็นจริง นิ่วแต่ละตำแหน่งมีลักษณะเฉพาะที่ต้องรับการวินิจฉัยและรักษาต่างกัน หากแยกไม่ออกตั้งแต่แรก อาจทำให้ได้รับการดูแลที่ไม่เหมาะสมกับโรค
นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่โรคจะลุกลาม เช่น นิ่วในไตที่อุดตันเรื้อรัง อาจทำให้เนื้อไตเสื่อม ไตวาย หรือเกิดการติดเชื้อเฉียบพลันที่อันตรายถึงชีวิต ในขณะที่นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ หากปล่อยไว้นานอาจทำให้เยื่อบุกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือส่งผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะโดยตรง การรู้ความแตกต่างตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ ช่วยให้สามารถเฝ้าระวัง ดูแลตัวเอง และเข้ารับการตรวจรักษาได้อย่างเหมาะสม
นิ่วในไต กับ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ต่างกันอย่างไร?
1. ตำแหน่งที่เกิดโรค
- นิ่วในไต: เกิดขึ้นภายใน “ไต” ซึ่งทำหน้าที่กรองของเสียจากเลือดและผลิตปัสสาวะ
- นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ: เกิดขึ้นภายใน “กระเพาะปัสสาวะ” ซึ่งทำหน้าที่เก็บปัสสาวะก่อนขับถ่าย
2. ปัจจัยเสี่ยง
- นิ่วในไต: มักเกิดจากการตกผลึกของแร่ธาตุในปัสสาวะ เช่น แคลเซียมออกซาเลต หรือกรดยูริก อาจมีปัจจัยร่วมอย่างดื่มน้ำน้อย กินอาหารเค็มหรือโปรตีนสูง
- นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ: มักเกิดจากปัสสาวะค้างหรือขับถ่ายไม่หมด เช่น ในผู้ชายสูงวัยที่มีภาวะต่อมลูกหมากโต หรือผู้ที่มีปัญหาการควบคุมการขับถ่าย
3. ลักษณะอาการของโรค
- นิ่วในไต
ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะสีคล้ายน้ำล้างเนื้อ หรือปัสสาวะขุ่น
ปวดหลังหรือเอวด้านเดียวอย่างรุนแรง
ปวดร้าวลงท้องน้อย ขาหนีบ หรือต้นขา
คลื่นไส้ อาเจียน หนาวสั่น เป็นไข้
- นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะขัด ปัสสาวะสะดุด
ปวดแสบเวลาปัสสาวะ พร้อมกับปวดหน่วงท้องน้อย
ปัสสาวะขาดช่วง ออกช้าหรือกลั้นไม่อยู่
มีเลือดในปัสสาวะหรือติดเชื้อทางเดินปัสสาวะซ้ำ ๆ
แนวทางการดูแลตัวเองลดเสี่ยงเป็นนิ่วในไตและนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6–8 แก้ว เพื่อเจือจางแร่ธาตุในปัสสาวะ
- หลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัด อาหารที่มีโซเดียมสูง และการรับประทานโปรตีนสัตว์มากเกินไป
- สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ปวดเอว ปวดท้องน้อย ปัสสาวะผิดปกติ
- เข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้สูงวัยหรือผู้ที่มีประวัตินิ่วในครอบครัว
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดและการทำงานของไตดีขึ้น
- ควบคุมภาวะต่อมลูกหมากโต และโรคที่มีผลต่อระบบขับถ่าย
นิ่วในไต และนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ แม้จะเป็นก้อนนิ่วเหมือนกัน แต่เกิดคนละที่ มีปัจจัยเสี่ยงและอาการต่างกัน หากไม่แยกให้ออกตั้งแต่แรก อาจพลาดการรักษาและปล่อยให้โรคลุกลามจนกระทบต่อสุขภาพโดยรวม สิ่งสำคัญคือการ “รู้เท่าทัน” และ “ดูแลตั้งแต่เนิ่นๆ” หากคุณหรือคนใกล้ตัวเริ่มมีอาการผิดปกติ อย่ารอให้ปวดจนทนไม่ไหว ควรพาไปให้แพทย์ทำการตรวจวินิจฉัยก่อนสาย
และสำหรับผู้ที่มีอาการปัสสาวะบ่อยหรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ การใช้ตัวช่วยดีๆ “กางเกงซึมซับ” ก็จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการชีวิตประจำวันค่ะ แนะนำให้เลือกที่สามารถซึมซับได้ดี ผิวสัมผัสนุ่ม ไม่ระคายเคือง แห้งสบาย สวมใส่ง่าย ช่วยคลายความกังวลเมื่อต้องทำกิจกรรมนอกบ้าน หรือในช่วงเวลาที่ไม่สะดวกเข้าห้องน้ำนั่นเองค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลเจ้าพระยา , โรงพยาบาลเมดพาร์ค , โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ , โรงพยาบาลรวมแพทย์ฉะเชิงเทรา,