#เซอร์เทนตี้กูรู จะพาสูงวัยไปแยกให้ออกว่า “นิ้วในไต” กับ “นิ่วในกระเพาะ” ปัสสาวะ
แตกต่างกันอย่างไร ทั้งในแง่ของปัจจัยเสี่ยงและอาการ พร้อมวิธีดูแลตัวเองให้ห่างไกล
จากการเกิดนิ่ว

แยกให้ชัด! นิ่วในไต กับ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ เหมือนหรือต่างอย่างไร

14 สิงหาคม 2568
แชร์

แยกให้ชัด! นิ่วในไต กับ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ เหมือนหรือต่างอย่างไร

“นิ่ว” คือปัญหาสุขภาพที่หลายคนคุ้นหู โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงวัย แต่รู้หรือไม่ว่า “นิ่ว” ไม่ได้มีแค่ชนิดเดียว และไม่ได้เกิดในที่เดียวเสมอไป ผู้สูงวัยหลายคนอาจเข้าใจว่าไม่ว่าจะนิ่วในไต หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ก็คือนิ่วเหมือนกันหมด จึงมักละเลยอาการบางอย่าง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ #เซอร์เทนตี้กูรู จะพามาดูกันว่า “นิ่วในไต” กับ “นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ” มีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเพิ่มความเข้าใจในตัวโรค สามารถสังเกตความผิดปกติได้ตั้งแต่แรกเริ่มค่ะ
 
ทำไมการรู้ความแตกต่างระหว่างนิ่วในไตกับนิ่วในกระเพาะปัสสาวะจึงสำคัญ
หลายคนอาจคิดว่าอาการปวดหลัง ปวดท้อง หรือปัสสาวะติดขัด คือนิ่วเหมือนกันหมด แต่ในความเป็นจริง นิ่วแต่ละตำแหน่งมีลักษณะเฉพาะที่ต้องรับการวินิจฉัยและรักษาต่างกัน หากแยกไม่ออกตั้งแต่แรก อาจทำให้ได้รับการดูแลที่ไม่เหมาะสมกับโรค

นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่โรคจะลุกลาม เช่น นิ่วในไตที่อุดตันเรื้อรัง อาจทำให้เนื้อไตเสื่อม ไตวาย หรือเกิดการติดเชื้อเฉียบพลันที่อันตรายถึงชีวิต ในขณะที่นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ หากปล่อยไว้นานอาจทำให้เยื่อบุกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือส่งผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะโดยตรง การรู้ความแตกต่างตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญ ช่วยให้สามารถเฝ้าระวัง ดูแลตัวเอง และเข้ารับการตรวจรักษาได้อย่างเหมาะสม

นิ่วในไต กับ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ต่างกันอย่างไร?
1. ตำแหน่งที่เกิดโรค
- นิ่วในไต: เกิดขึ้นภายใน “ไต” ซึ่งทำหน้าที่กรองของเสียจากเลือดและผลิตปัสสาวะ
- นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ: เกิดขึ้นภายใน “กระเพาะปัสสาวะ” ซึ่งทำหน้าที่เก็บปัสสาวะก่อนขับถ่าย

2. ปัจจัยเสี่ยง
- นิ่วในไต: มักเกิดจากการตกผลึกของแร่ธาตุในปัสสาวะ เช่น แคลเซียมออกซาเลต หรือกรดยูริก อาจมีปัจจัยร่วมอย่างดื่มน้ำน้อย กินอาหารเค็มหรือโปรตีนสูง
- นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ: มักเกิดจากปัสสาวะค้างหรือขับถ่ายไม่หมด เช่น ในผู้ชายสูงวัยที่มีภาวะต่อมลูกหมากโต หรือผู้ที่มีปัญหาการควบคุมการขับถ่าย

3. ลักษณะอาการของโรค
- นิ่วในไต
ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะสีคล้ายน้ำล้างเนื้อ หรือปัสสาวะขุ่น
ปวดหลังหรือเอวด้านเดียวอย่างรุนแรง
ปวดร้าวลงท้องน้อย ขาหนีบ หรือต้นขา
คลื่นไส้ อาเจียน หนาวสั่น เป็นไข้
 
- นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะขัด ปัสสาวะสะดุด
ปวดแสบเวลาปัสสาวะ พร้อมกับปวดหน่วงท้องน้อย
ปัสสาวะขาดช่วง ออกช้าหรือกลั้นไม่อยู่
มีเลือดในปัสสาวะหรือติดเชื้อทางเดินปัสสาวะซ้ำ ๆ

แนวทางการดูแลตัวเองลดเสี่ยงเป็นนิ่วในไตและนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6–8 แก้ว เพื่อเจือจางแร่ธาตุในปัสสาวะ
- หลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัด อาหารที่มีโซเดียมสูง และการรับประทานโปรตีนสัตว์มากเกินไป
- สังเกตอาการผิดปกติ เช่น ปวดเอว ปวดท้องน้อย ปัสสาวะผิดปกติ
- เข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้สูงวัยหรือผู้ที่มีประวัตินิ่วในครอบครัว
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดและการทำงานของไตดีขึ้น
- ควบคุมภาวะต่อมลูกหมากโต และโรคที่มีผลต่อระบบขับถ่าย
 
นิ่วในไต และนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ แม้จะเป็นก้อนนิ่วเหมือนกัน แต่เกิดคนละที่ มีปัจจัยเสี่ยงและอาการต่างกัน หากไม่แยกให้ออกตั้งแต่แรก อาจพลาดการรักษาและปล่อยให้โรคลุกลามจนกระทบต่อสุขภาพโดยรวม สิ่งสำคัญคือการ “รู้เท่าทัน” และ “ดูแลตั้งแต่เนิ่นๆ” หากคุณหรือคนใกล้ตัวเริ่มมีอาการผิดปกติ อย่ารอให้ปวดจนทนไม่ไหว ควรพาไปให้แพทย์ทำการตรวจวินิจฉัยก่อนสาย

และสำหรับผู้ที่มีอาการปัสสาวะบ่อยหรือกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ การใช้ตัวช่วยดีๆ “กางเกงซึมซับ” ก็จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการชีวิตประจำวันค่ะ แนะนำให้เลือกที่สามารถซึมซับได้ดี ผิวสัมผัสนุ่ม ไม่ระคายเคือง แห้งสบาย สวมใส่ง่าย ช่วยคลายความกังวลเมื่อต้องทำกิจกรรมนอกบ้าน หรือในช่วงเวลาที่ไม่สะดวกเข้าห้องน้ำนั่นเองค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก  โรงพยาบาลเจ้าพระยา , โรงพยาบาลเมดพาร์ค , โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ , โรงพยาบาลรวมแพทย์ฉะเชิงเทรา,